เลเซอร์หลุมสิวคืออะไร และมีวิธีเลือกสถานบริการแบบใด

หลุมสิวเป็นปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนมีความกังวล ดังนั้นการลดปัญหาหลุมสิวที่กำจัดยากนั้นจะมีหลากหลายวิธีและหนึ่งในวิธีที่นิยมใช้ในยุคนี้คือการทำเลเซอร์หลุมสิว เพราะการรักษาหลุมสิวที่ถูกวิธีจะช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นและไม่ก่อให้เกิดการทำร้ายผิวซ้ำ หลุมสิวไม่รุนแรงมากเกินจนรักษาให้หายไม่ได้ ซึ่งหลุมสิวนั้นเป็นแผลที่รักษายากมากที่สุดหากเทียบกับปัญหาผิวแบบอื่น ๆ การรักษาหลุมสิวนั้นอาจต้องใช้เวลาที่มากกว่า 6 เดือนขึ้นไปขึ้นอยู่กับความลึกและชนิดของหลุมสิวและการทำเลเซอร์นั้นจะช่วยให้หลุมสิวดีขึ้นยังไงวันนี้เราจะพาท่านไปดูดังนี้

การทำเลเซอร์หลุมสิวคืออะไร

เลเซอร์หลุมสิว คือ การใช้เทคโนโลยีเลเซอร์สำหรับแก้ปัญหารอยสิวด้วยพลังงานแสง และช่วงความยาวคลื่นที่เหมาะสม โดยจะทำการยิงลำแสงเลเซอร์ลงไปบนผิวหนังที่ต้องการลบรอยสิว เพื่อกำจัดผิวหนังชั้นนอก และกระตุ้นผิวหนังให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ส่งผลให้หลุมสิวและผิวบริเวณที่ทำแลดูเรียบเนียน และรอยต่าง ๆ ดูจางลง

เทคโนโลยีเลเซอร์หลุมสิวที่กำลังได้รับความนิยม นั่นก็คือ Fractora ส่งผ่านพลังงานในลักษณะ Fractional RF ลงสู่ผิว เจาะเข้าไปที่ชั้นหนังแท้ เพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งหลุมสิว ก่อนที่จะปล่อยคลื่นพลังงานความร้อนจากปลายหัวเข็ม โดยความร้อนนี้จะยิงลึกถึงจุดที่ลึกที่สุดของชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนดันผิวจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน เพื่อเติมเต็มหลุมสิว จึงเหมาะสำหรับรักษาหลุมสิวที่ลึกและยากต่อการรักษาด้วยเลเซอร์ทั่วไป

วิธีการเลือกสถานที่ทำเลเซอร์หลุมสิว

ปัจจุบันมีโรงพยาบาลและคลินิกเสริมความงามมากมายที่ให้บริการด้านเลเซอร์รักษาหลุมสิว ซึ่งอาจทำให้คนที่กำลังมองหาสถานที่ทำเลเซอร์หลุมสิวไม่แน่ใจว่าควรจะเลือกอย่างไรวันนี้เราได้รวบรวมวิธีการเลือกสถานที่เลเซอร์หลุมสิวมาไว้ให้คุณได้ใช้ประกอบการพิจารณาด้านล่างนี้แล้ว

เลือกสถานที่จากประเภทของเลเซอร์

โรงพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงามแต่ละแห่งมักมีเลเซอร์หลุมสิวที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชื่อแบรนด์หรือชื่อรุ่นของเครื่องเลเซอร์ แต่อันที่จริงแล้วเลเซอร์หลุมสิวจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้

เลเซอร์ประเภทเกิดสะเก็ดแผล (Ablative Laser)

เลเซอร์ประเภทแรกคือเลเซอร์ชนิดเกิดสะเก็ดแผลหลังทำ (Ablative Laser) โดยหลักการทำงานของเลเซอร์ประเภทนี้คือเลเซอร์จะลอกผิวหนังด้านบนออกไป จึงทำให้หลุมสิวดูตื้นขึ้น และเลเซอร์จะส่งคลื่นความร้อนลงไปในผิวหนังชั้นล่างเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และเลเซอร์ประเภทนี้ส่งผลข้างเคียงมากกว่าประเภทอื่น ๆ เช่น รอยดำจากเลเซอร์หรือการเกิดสิวอักเสบ

เลเซอร์ประเภทไม่เกิดสะเก็ดแผลหลังทำ (Non-ablative Laser)

เมื่อใช้เลเซอร์ประเภทเกิดสะเก็ดแผลส่งผลข้างเคียงกับผิวหน้า ทีมผู้เชี่ยวชาญจึงได้มีการพัฒนาเลเซอร์ประเภทไม่เกิดสะเก็ดแผลหรือ Non-ablative Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ไม่ได้ลอกผิวหนังด้านบนของผิวหน้าออก เลเซอร์เพียงแค่ลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง เลเซอร์ประเภทนี้เมื่อนำมาทดลองใช้ในการรักษาหลุมสิวแล้ว พบว่าเลเซอร์ให้ผลได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่เลเซอร์ให้ผลดีในด้านการลดริ้วรอยและทำให้ผิวกระจ่างใส ดังนั้นโรงพยาบาลและคลินิกต่าง ๆ จึงไม่นิยมนำเลเซอร์ประเภทนี้มาใช้รักษาหลุมสิวนั่นเอง

เลเซอร์ประเภทกระตุ้นเฉพาะจุด (Fractional Laser)

เลเซอร์ประเภทนี้เป็นการผสมกันระหว่างเลเซอร์ 2 ประเภทแรก กล่าวคือ แพทย์จะยิงเลเซอร์ลงไปที่บริเวณหลุมสิวเท่านั้น ซึ่งจะทำให้เกิดการลอกผิวหนังด้านบนเพียงแค่เฉพาะบริเวณหลุมสิว แต่คลื่นความร้อนจะถูกส่งลงไปใต้ผิวหนังและกระตุ้นให้ทั้งเซลล์ผิวที่ถูกเลเซอร์และเซลล์ผิวดีสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมบาดแผล ดังนั้นเลเซอร์ประเภทนี้จึงมีข้อดีคือทำให้แผลเลเซอร์สมานเร็วนั่นเอง

เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปเลเซอร์หลุมสิว

  1. ควรเลือกแพทย์หรือคลินิกเสริมความงามเฉพาะทาง
  2. ควรหาข้อมูลการทำ เลเซอร์ และผลกระทบจากการทำไว้ให้พร้อม
  3. ควรเตรียมข้อมูลตัวเอง อาทิ การทานยา – แพ้ยา การทานฮอร์โมน ประวัติการผ่าตัด หรือศัลยกรรมใบหน้าให้หมอทราบด้วย
  4. ไม่ควรทายา หรือกรดผลไม้ต่าง ๆ ก่อนไปรักษา
  5. ควรหยุดทายาละลายหัวสิวก่อนทำเลเซอร์
  6. หยุดสูบบุหรี่

7.เลี่ยงการออกแดด หรือเจอแสงแดดแรง

หลังเลเซอร์หลุมสิวควรปฏิบัติตัวอย่างไร

หลังทำ 24 ชั่วโมง ห้ามโดนน้ำ

เนื่องจาก แผลที่เกิดจากการทำเลเซอร์ เป็นแผลที่ยังสดอยู่ เปรียบเทียบเหมือนแผลถลอกจากการหกล้ม หากเราไปโดนน้ำทันที จะมีโอกาสสร้างความชื้นให้กับแผล และทำให้แผลมีโอกาสเกิดการติดเชื้อ และ อักเสบได้

ห้ามโดนแสงแดดโดยตรง ตลอดช่วงระยะเวลาที่มีสะเก็ด

เนื่องจากช่วงที่ผิวเกิดสะเก็ดหลังการรักษา “จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างง่าย”   เนื่องจากชั้นผิวพึ่งโดนทำลายไป ทำให้บางครั้ง อาจจะมีอาการ คัน ระคายเคือง แสบ ได้ในช่วงแรก และ หากผิวที่เป็นสะเก็ด ไปถูกแสงแดดกระทบบ่อยและนาน อาจทำให้เกิด “รอยดำ” หลังการรักษาได้ (PIH)

ห้ามใช้ ผลิตภัณฑ์ นอกเหนือจากคำแนะนำของแพทย์ ทุกชนิด

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประจำในชีวิตประจำวัน บางตัวอาจมีส่วนผสมของ กรดวิตามิน สารผลัดเซลล์ผิว หรือ กลุ่ม Whitening ซึ่งทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายมาก ดังนั้น ควรใช้เพียงผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

  • โฟมล้างหน้า หรือ สบู่ล้างหน้า ให้ใช้สูตรที่อ่อนโยน หรือ เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ห้ามมีส่วนผสมของ ไวเทนนิง สครับเด็ดขาด
  • Skincare ที่ใช้ได้คือ Moisturizer เท่านั้น งดใช้ผลิตภัณฑ์อื่นขณะมีสะเก็ด แล้วเริ่มใช้ได้ เมื่อสะเก็ดหมดอย่างสมบูรณ์
  • หากแพทย์ มีการจ่ายยาให้ (ซึ่งอาจมีหรือไม่มีก็ได้แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์) จะต้องใช้อย่างเคร่งครัดและใช้เป็นประจำ จนกว่ายาจะหมด
  • หลังสะเก็ดหลุดหมดอย่างสมบูรณ์ ซึ่งกินเวลาราว 4-7 วัน จึงสามารถกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ตามปกติที่เคยใช้ได้

งดการแต่งหน้า แต่ถ้าหากมีความจำเป็น “แต่งให้บางที่สุด”

สาเหตุที่แพทย์ไม่อยากให้ทำการแต่งหน้าตอนที่ผิวยังมีสะเก็ด ก็เนื่องจากว่า ในแต่ละบุคคลนั้น จะมีพฤติกรรมการแต่งหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามความชอบ บางคนชอบแต่งหนา บางคนแต่งบาง ดังนั้น ช่วงที่ผิวมีสะเก็ด การทำความสะอาดจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และ ต้องการความเบา เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเสียดสีของผิว