แผลเป็น คือ หนึ่งในอุปสรรคของความสวยงามที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับหลาย ๆ คน แผลเป็นมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลที่แตกต่างออกไป ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไป ตามปกติแล้วแผลเป็นอาจจะจางลงไปได้เองแต่ต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปีขึ้นไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลด้วย วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า สามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็น ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ให้คำแนะนำ แพทย์อาจจะใช้วิธีเดียวหรือหลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด
แผลเป็นมาจากไหน ?
แผลเป็นเกิดขึ้นจากกระบวนการหนึ่งของการรักษาแผลที่ร่างกายสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผลจากอุบัติเหตุ แผลผ่าตัด แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะตามมาด้วยการผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าคอลลาเจนเพื่อช่วยสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายขึ้นใหม่ ทำให้บาดแผลหายเป็นปกติในที่สุด จนเมื่อเวลาผ่านไปสัก 3 เดือน
คอลลาเจนใหม่ก็ยังถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเลือดก็มาเลี้ยงมากขึ้นจนแผลนูนเป็นก้อนแข็งและแดง หากคอลลาเจนเหล่านี้หยุดสร้าง และเลือดที่มาเลี้ยงลดลง แผลเป็นจะค่อย ๆ เรียบ นุ่มลง และจางไปในที่สุดทำได้เพียงรักษาให้จางลงเท่านั้น ปกติแผลเป็นอาจจางไปเองเมื่อเวลาผ่านไป
แต่หากพ้นช่วง 2 ปีแรกก็มีโอกาสน้อยที่จะจางลงอีกทั้งนี้การเกิดแผลเป็นในแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมจึงมีโอกาสเกิดแผลเป็นมากกว่า โดยบริเวณที่เสี่ยงเกิดแผลเป็นได้ง่ายคือหน้าอก หลัง ติ่งหู และไหล่ และหากเป็นบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวของข้อต่อ เช่น หัวเข่าและไหล่ ก็ยิ่งทำให้แผลเป็นขยายออกกว้างขึ้นได้ง่าย
วิธีลบรอยแผลเป็นแบบต่าง ๆ ให้เห็นผล เพื่อผิวเรียบเนียนน่ามองต้องทำอย่างไร
แผลเป็นแบบนูน
ลักษณะ : หนา และยกตัวนูนขึ้นจากผิวหนังปกติ มี 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบ Hypertrophic Scars มีลักษณะนูนขึ้น ขอบเขตของแผลจะเท่ากับขนาดแผลเดิม และแบบ Keloids จะมีลักษณะนูนขึ้น แต่ขอบเขตแผลมีการขยายกว้าง มากกว่ารอยแผลเดิม สีแผลเป็นจะเข้มกว่าสีปกติ จะเป็นสีแดง ดำ น้ำตาล ในระยะแรกจะมีอาการคันร่วมด้วยค่ะ
จุดที่พบ : มักจะเป็นบริเวณหน้าอก หลัง และหัวไหล่
การรักษา : พบแพทย์เพื่อฉีดคอร์ติโซน นิยมใช้กับแผลเป็น Keloids ได้ผลประมาณ 50-100% แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำประมาณ 9-50% นอกจากนี้ยังมีวิธีการฉีดด้วยเครื่องInnojector ชึ่งเป็นนวัตกรรมใช้แรงลมฉีดน้ำยาเข้าไปตัดผังผืด กระตุ้นสเต็มเซลให้มาสร้างคอลลาเจนใหม่ทำให้แผลยุบตัวและนุ่มขึ้นจนหายจางเป็นปกติได้ ไม่ควรผ่าตัดเพราะมักทำให้แผลใหญ่กว่าเดิม หากเป็นไม่มากอาจใช้แผ่นเจลซิลิโคนปิดแผลกดทับไว้ก็ช่วยไว้ในบางรายให้แผลนุ่มและราบลง
แผลเป็นแบบเรียบ
ลักษณะ : เป็นแผลเป็นที่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ค่ะ มีชื่อว่า Mature scars มีลักษณะเรียบแบน มีสีใกล้เคียงกับสีผิวหนังปกติ ส่วนใหญ่เกิดจากแผลที่ถูกของมีคมบาด
จุดที่พบ : มือ ขา และตามร่างกายทั่วไป
การรักษา : ใช้ผลิตภัณฑ์ทาเพื่อแก้รอยแผลเป็น ที่มีส่วนผสมของวิตามิน E เพื่อช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเร่งการซ่อมแซมแผลได้ดีขึ้นค่ะ และอาจมีส่วนผสมของวิตามิน A และวิตามิน B3 เพื่อช่วยลดความเข้มของสีผิวให้เรียบเนียนขึ้น
แผลเป็นแบบหลุม
ลักษณะ : ผิวเป็นหลุม เกิดจากคอลลาเจนที่ผิวเสียหาย มีอยู่ 3 รูปแบบค่ะ ได้แก่ Ice Pick มีลักษณะเป็นหลุมเล็ก ๆ Boxcar มีลักษณะคล้ายหลุมอุกาบาต และแบบ Rolling มีลักษณะเป็นรอยหยัก ซึ่งสีแผลเป็นมีลักษณะใกล้เคียงกับผิวปกติ เกิดจากแผลของสิวหรือรอยโรคอีสุกอีใส
จุดที่พบ : มักจะพบได้บนใบหน้า
การรักษา : รักษาด้วยการเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา เป็นวิธีที่ลดรอยสิวและรอยแผลเป็นประเภทนี้ได้ผลดีที่สุดค่ะ แต่การรักษามีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้เข็มในการทำลายเนื้อเยื่อแผลเป็น เป็นการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า แต่ประสิทธิภาพค่อนข้างน้อย แต่สำหรับรอยแผลเป็นที่อ่อนอยู่ อาจใช้ Retinoid A ในการรักษาก็ได้ ดีที่สุดในปัจจุบันคือการฉีดแผลเป็นได้ทุกชนิดด้วยเครื่อง Innojector เป็นปืนนวัตกรรมที่ใช้ลมปั่นน้ำยาที่ฉีดให้หมุนเป็นเกลียวเข้าไปในแผล เพื่อตัดผังผืด กระตุ้นสเต็มเซลมาซ่อมแซมผิวและสร้างคอลลาเจนใหม่ที่ดีโดยไม่ใช้เข็ม ไม่เจ็บและช่วยรักษาแผลเป็นทั้งชนิดนูนและหลุมอย่างได้ผลดี อาจต้องทำหลายครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน3-4 สัปดาห์ค่ะ
จุดด่างดำ รอยดำจากสิว
ลักษณะ : เป็นรอยแผลเป็นแบบเรียบแบน เกิดจากการที่เราบีบสิว หรือแกะสิวจนเป็นแผลจุดดำ หรือน้ำตาล และบางครั้งอาจเกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากจนเกินไป ทำให้เป็นจุดสีชมพู หรือสีน้ำตาลบนผิว
จุดที่พบ : มักจะพบได้บนใบหน้า และแผ่นหลัง
การรักษา : การรักษาที่ได้ผลดีที่สุดคือการใช้เลเซอร์Pico Second ซึ่งช่วยแตกเม็ดสีให้เล็กละเอียด1/1000 เท่าของนาโนและเม็ดเลือดขาวในร่างกายจะเข้ามาจับกินเม็ดสีไปกำจัดทิ้งโดยไม่มีแผลหรือผลเสีย นอกจากนี้อาจทาแผลรอยดำด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hydroquinone, กรดวิตามินเอ และ Alpha Hydroxy Acid จะสามารถลดรอยดำได้เร็วขึ้น