สำหรับการดูดไขมันนั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการทำศัลยกรรมเพื่อความงามที่ใช้เทคนิคในการดูดไขมันส่วนเกินในชั้นใต้ผิวหนังออกจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเฉพาะจุด ซึ่งเป็นจุดที่ลดไขมันได้ยากแม้ว่าจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ก้น แขน หรือคอ ปกติแล้วการดูดไขมันมีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือวิธีแบบดั้งเดิมโดยการใช้การดมยาสลบ และวิธีปัจจุบันโดยการดูดไขมันด้วยเทคนิค Tumescent หรือการใส่ยาชาและน้ำเกลือที่เนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งการดูดไขมันเทคนิค Tumescent นั้นได้ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1987 โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจากแคลิฟอร์เนีย และกลายเป็นวิธีการดูดไขมันวิธีหลักโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจนถึงทุกวันนี้ สำหรับการดูดไขมันราคาเท่าไหร่นั้นจะเป็นอย่างไรไปดูกัน
ดูดไขมันสามารถดูดที่บริเวณใดได้บ้าง
ตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่นิยมดูดไขมันคือหน้าท้อง เอว ต้นขา ต้นแขนและสะโพก และตำแหน่งที่ไม่เหมาะกับการดูดไขมันก็คือบนใบหน้า เนื่องจากมีเส้นประสาทจำนวนมาก ดังนั้นก่อนที่จะเตรียมตัวก่อนการดูดไขมันคือต้องรู้ก่อนว่าจะดูดตำแหน่งไหน และต้องทำความเข้าใจว่าบริเวณนั้นเหมาะสมหรือไม่อย่างไร สำหรับบริเวณน่องจะเป็นบริเวณที่หลายคนอยากดูดไขมันออก แต่ส่วนมากขนาดของน่องที่ใหญ่ มักไม่ได้เป็นเพราะไขมันแต่เป็นเพราะกล้ามเนื้อมากกว่า ผู้ต้องการที่จะดูดไขมันอาจต้องเข้าไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวิเคราะห์ละเอียดอีกทีว่ามีไขมันสะสมอยู่มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังต้องทำการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ให้บริการที่ต้องมีมาตรฐาน มีห้องผ่าตัดมาตรฐานสูง มีห้องพักฟื้นที่เหมาะสม และศึกษาข้อมูลของแพทย์ที่จะทำการดูดไขมันให้ละเอียดก่อนเข้ารับบริการ
ต้องรู้ก่อนว่าการดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน
ในการดูดไขมันนั้นผู้เข้ารับบริการต้องทำความเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่การลดความอ้วน เป็นเพียงการกระชับสัดส่วนเท่านั้น เพราะในความจริงแล้วไขมันมีน้ำหนักที่เบามากหากเปรียบเทียบกับกระดูกและกล้ามเนื้อ หลังดูดไขมันน้ำหนักอาจจะลดลงเพียงแค่ 1 กิโลกรัมโดยประมาณ รับประทานอาหาร 1-2 มื้อน้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิม ไม่ได้ช่วยให้ผอมลง หรือไม่สามารถเปลี่ยนคนอ้วนให้เป็นคนผอมได้ และหากต้องการลดความอ้วนผู้เข้ารับบริการยังคงต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารร่วมด้วย
ขั้นตอนการดูดไขมันเป็นอย่างไร
การดูดไขมัน เป็นการดูดเอาไขมันที่ไม่ต้องการในบริเวณต่าง ๆ ในร่างกายออกด้วยท่อขนาดเล็กและอุปกรณ์สุญญากาศ โดยจะทำการดูดไขมันบริเวณที่ต้องการออก ขั้นตอนหลัก ๆ ของการดูดไขมัน ได้แก่
- แพทย์จะทำการฉีดสารละลายน้ำเกลือ (Saline) ซึ่งประกอบด้วยยาชาและอะดรีนาลีนเข้าไปในเนื้อเยื่อไขมันเพื่อช่วยระงับความรู้สึกและลดการเสียเลือด การดูดไขมันด้วยวิธีนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย ช่วยให้สามารถเอาไขมันออกมาได้ง่าย และช่วยลดความรู้สึกไม่สบายต่าง ๆ หลังขั้นตอนการดูดไขมัน นอกจากนั้นยังช่วยลดรอยช้ำและบวม
- ศัลยแพทย์จะทำการใส่ท่อขนาดเล็กลงไปในเนื้อเยื่อไขมัน และใช้อุปกรณ์สุญญากาศดูดไขมันในบริเวณที่ต้องการ และหลังจากทำเสร็จแล้ว แพทย์จะใช้ผ้าพันแผลพันรอบบริเวณที่ดูดไขมันเพื่อช่วยลดอาการบวมและทำให้แผลหายได้ง่ายยิ่งขึ้น
การดูดไขมันมีข้อห้ามอย่างไร
สำหรับการดูดไขมันนั้นเป็นหนึ่งในกระบวนการผ่าตัดที่มาพร้อมกับความเสี่ยง ผู้เข้ารับการดูดไขมันต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี ต้องมีน้ำหนักตัวใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีผิวหนังที่เด้งกระชับ ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนั้น แพทย์จะไม่แนะนำให้ดูดไขมัน หากมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การไหลเวียนโลหิต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ดูดไขมันมีผลข้างเคียงอย่างไร
- อาจทำให้สีผิวในบริเวณที่ทำเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
- เมื่อทำการดูดไขมันออกไปแล้วอาจเป็นก้อนไม่สม่ำเสมอ
- อาจเกิดอาการห้อเลือดขึ้นได้
- ผู้เข้ารับบริการอาจเกิดอาการชาเป็นระยะเวลาหลายเดือน
- อาจเกิดภาวะไขมันหรือลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด
- ผู้เข้ารับบริการอาจเกิดอาการปอดบวม หัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
เตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องทำการดูดไขมัน
- การดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนัก การดูดไขมันเป็นการนำเซลล์ไขมันออกจากร่างกายเฉพาะจุด โดยที่มวลไขมันจะลดลง แต่จะไม่ทำให้น้ำหนักลดดังนั้นหากดูดไขมันแล้ว แต่น้ำหนักยังเท่าเดิม หรือลดลงเพียงเล็กน้อยก็ไม่ต้องแปลกใจไป
- ก่อนเข้ารับบริการดูดไขมัน 2 สัปดาห์ผู้เข้ารับบริการต้องงดการรับประทานอาหารเสริม เช่น ยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด ยารักษาอาการของโรคซึมเศร้า โดยรวมไปถึงอาหารเสริมที่มีผลข้างเคียงในด้านการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันตับปลา และวิตามิน E เนื่องจากในการดูดไขมันจำเป็นจะต้องใช้ยาชาซึ่งอาจมีฤทธิ์ต่อต้านตัวยาหรืออาหารเสริมที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อความปลอดภัยควรงดล่วงหน้าเพื่อไม่ให้มีสารตกค้างในร่างกาย
- ก่อนเข้ารับบริการดูดไขมัน 2 สัปดาห์ต้องงดการดื่มแลอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เนื่องจากจะทำให้แผลสมานตัวช้าหรือติดเชื้ออักเสบได้ ทางที่ดีควรงดอย่างต่ำ 2 สัปดาห์เป็นต้นไป
- ผู้เข้ารับบริการต้องแจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทานประจำให้แพทย์ทราบ เพื่อความปลอดภัยในการจ่ายยาหรือการใช้ยาชาก่อนจะทำการดูดไขมัน ในบางครั้งยาบางชนิดก็สามารถต้านยาอาจทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้นข้อแนะนำว่าให้แจ้งทันที เพื่อที่แพทย์จะได้วางแผนในการดูดไขมันต่อไป
- ผู้เข้ารับบริการควรเตรียมสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย เนื่องจากผู้เข้ารับบริการจะต้องพักเป็นเวลา 1-3 วัน โดยหลังจากผ่าตัดจะต้องสวมชุดกระชับสัดส่วนทันที ดังนั้นควรเตรียมชุดกระชับสัดส่วนสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ไว้เสมอ เพื่อความสะดวกของตัวเอง