กลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร ?

กลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร ?

กลิ่นตัวกลิ่นตัวแรงเกิดจากอะไร เกิดจากต่อมกลิ่น (Apocrine gland) บริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย โดยส่วนมากกลิ่นจะเกิดบริเวณ รักแร้ ท้ายทอย ศีรษะ ขาหนีบ หรือแม้แต่บริเวณอวัยวะเพศก็สามารถเกิดกลิ่นได้ เกิดได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศชาย หญิง แต่เพศชายจะมีกลิ่นที่ค่อนข้างแรงกว่า เพราะในเพศชายนั้นจะมีต่อมเหงื่อที่แยกออกไปเยอะกว่า และมักจะรักษาความสะอาดได้ไม่ดีเท่าเพศหญิง กลิ่นตัวเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังบริเวณดังกล่าว และเกิดจากการย่อยสลายของเหงื่อจนเกิดเป็นกรดไขมันหลายชนิดรวมถึงเชื้อราจนทำให้เกิดการอับชื้น แล้วเกิดเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นมา

ปัจจัยในการเกิดกลิ่นตัว

1.เชื้อชาติ

คนบางชาติพันธุ์จะมีกลิ่นตัวที่แรงกว่าชาติอื่น เช่น ชาวยุโรปจะมีกลิ่นตัวที่แรง ออกไปทางกลิ่นนมเนย ส่วนชาวอินเดีย ชาวตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนมากมักจะมีกลิ่นตัวที่แรงกว่าชาติพันธุ์ฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะคนผิวดำ เพราะจะมีพันธุกรรมของต่อมเหงื่อที่มีความรุนแรงกว่าคนผิวขาว และยิ่งชาวอินเดียด้วยแล้วจะเป็นกลิ่นตัวที่ฉุน เนื่องจากการกินอาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศ

2.อาหาร

อาหารบางชนิดก็มีผลทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ โดยเฉพาะอาหารประเภทไขมัน เนยที่มีกรดไขมันสูง สารระเหยในอาหารเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อและทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

3.ฮอร์โมน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่น เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มีผลต่อการเกิดกลิ่นตัวได้มาก แต่ปัจจัยนี้จะมีน้อยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น

4.วัฒนธรรมและสภาพอากาศ

ผู้คนบางประเทศที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศหนาวมักจะไม่อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายบ่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวได้

วิธีลดกลิ่นตัว ทำอย่างไรได้บ้าง

จากปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวในข้างต้น เราสามารถลดการเกิดกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น

• รักษาความสะอาดของร่างกายเป็นประจำ โดยการอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง งดเว้นการใส่เสื้อผ้าซ้ำก็จะช่วยลดกลิ่นตัวได้

• ลดความเครียด ความเครียดเป็นอีกสาเหตุที่จะยิ่งทำให้กลิ่นตัวเราแรงขึ้นได้ เพราะร่างกายจะหลั่งสารอะดรีนาลีน ออกมามากขึ้น ฉะนั้นเราจึงควรลดความเครียดและมีการแบ่งเวลาพักผ่อนให้จิตใจได้สดชื่นผ่อนคลายบ้าง

• ทำดีท็อกซ์ การล้างพิษในร่างกายจะทำให้กรดไขมันที่หมักหมมอยู่ภายในลดลงไปด้วย และส่งผลให้กลิ่นตัวที่เกิดจาก

• เลี่ยงอาหารก่อพิษ เช่น อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ทั้งหมู เนื้อ ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด เพราะจะทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังขับไขมันออกมามาก โดยเฉพาะรักแร้ ที่สำคัญจะทำให้เกิดสารพิษตกค้างในลำไส้

• ใช้สารส้ม ทาถูที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง โดยให้ทารักแร้ที่ยังเปียกอยู่ซ้ำ 2 รอบทั้งเช้าและเย็น ทำแบบนี้ทุกวัน กลิ่นตัวจากรักแร้ก็จะดีขึ้น

• น้ำมันสะระแหน่ หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยดใส่ลงในอ่างอาบน้ำ หรือหยดลงบนฝ่ามือแล้วค่อยถูสบู่ตาม เพราะสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว

• โรลออน และสเปรย์ระงับกลิ่นกาย เป็นอุปกรณ์ดับกลิ่นกายที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยให้ใช้ทา หรือฉีดให้ทั่วร่างกาย เพื่อระงับกลิ่น โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ข้อพับ หลังหู และหน้าอก

และอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงนั้นก็คือเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคกลิ่นตัวเหม็นเน่า

โรคกลิ่นตัวเหม็นเน่า (Fish Malodor Syndrome: FOS)

เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะมีกลิ่นติดตัวที่เหม็นรุนแรงกว่ากลิ่นตัวทั่วไป โดยจะมีกลิ่นคล้ายกับกลิ่น “ปลาเน่า” และมักเป็นที่รังเกียจของสังคม รวมถึงจะต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะช่วยลดกลิ่นตัวลงได้ โรคนี้มักเกิดได้จากพันธุกรรม การรับยาบางตัว หรือโรคบางชนิด เช่น โรคตับพิการ

โรคกลิ่นตัวเหม็นเน่ามีสาเหตุมาจาก “สารไตรเมทิลามีน” (Trimethylamine: TMA) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวโดยการขับออกผ่านทางเหงื่อ ปัสสาวะ และสารคัดหลั่งที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งสาร TMA จะพบได้มากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เนื้อสัตว์ทะเล และถั่วบางชนิด โดยอาหารเหล่านี้จะนำพาสาร TMA เข้าสู่ตับ ซึ่งในคนปกติจะมีเอนไซม์ในตับคอยทำลายสารชนิดนี้เพื่อไม่ให้เกิดเป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นมา

วิธีรักษาโรคกลิ่นตัวเหม็นเน่า

• โรคกลิ่นตัวเหม็นเน่ายังไม่มีวิธีการรักษาที่หายขาดได้ จึงมีแต่วิธีบรรเทาและรักษาเบื้องต้นเท่านั้น เช่น

• พยายามลดอาหารที่มีสารโคลีนสูง ได้แก่ ไข่แดง ตับหมู แฮม ปลาทูน่า ปลาเค็ม ทุเรียน ถั่วทุกชนิด และเต้าเจี้ยว

• ใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรีย แต่ห้ามรับประทานยาตัวนี้ติดต่อกันเกิน 3 เดือน โดยต้องอยู่ในการดูแลของควบคุมจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

• หลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดความเครียด หรือยาระงับประสาทใด ๆ เพราะยาดังกล่าวจะยิ่งส่งผลให้กลิ่นตัวแรงมากขึ้น

• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่จัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะยิ่งไปกระตุ้นให้กลิ่นตัวแรงมากขึ้น และยังทำให้สาร TMA เพิ่มมากขึ้นด้วย

ผู้ที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับกลิ่นตัวหลายรายมักจะมีสภาพจิตใจที่แย่ ไม่มั่นใจในตนเอง ดังนั้นควรการศึกษาหาวิธีดูแลตนเองเพื่อบรรเทากลิ่นตัวให้ลดลง เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา